issuu
ยาระบาย คลายท้องผูก
หลายๆท่าน คงเคยรู้สึกกังวลใจหากวันใดไม่ได้ขับถ่าย บางท่านรู้สึกว่าตัวเองท้องป่องพุงยื่นหลังจากไม่ได้ขับถ่าย พอเริ่มกังวลใจก็จะเริ่มหาตัวเลือกที่จะช่วยแก้ปัญหา แล้วทางออกที่หลายๆท่านเลือกใช้กันก็จะเป็น”ยาระบาย” ใช่หรือไม่?? แล้วท่านพอจะทราบหรือไม่ว่ายาระบายที่เลือกมานั้นไปทำยังไงกับร่างกายถึงทำให้ถ่ายออกมาได้ และยาที่เลือกนั้นปลอดภัยและเหมาะสมกับท่านหรือไม่ หากท่านยังไม่แน่ใจ ไม่เป็นไรค่ะ เพราะวันนี้ทางยาแอนด์ยู จะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับยาระบาย การแบ่งประเภทของยาระบาย และเราจะมาเรียนรู้กันว่ายาเข้าไปทำยังไงกับร่างกายถึงทำให้ถ่ายออกมาได้ รวมทั้งการใช้ยาระบายอย่างไรถึงจะเหมาะสมและปลอดภัย
ก่อนสิ่งอื่นใด เรามาทบทวนกันสักเล็กน้อยว่าภาวะที่ต้องใช้ยาระบายหรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “ท้องผูก” นั้น ทางการแพทย์เขานิยามว่าอย่างไร “ภาวะท้องผูก” หมายถึงภาวะที่ร่างกายมีการขับถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ และมีอาการถ่ายอุจจาระลำบาก ไม่ว่าจะเป็นต้องเบ่งนานกว่าปกติ อุจจาระก้อนแข็ง รู้สึกถ่ายไม่สุด หรือถ่ายไม่ออกเหมือนมีอะไรมาอุดกั้นตรงทวารหนัก ซึ่งหากมีลักษณะอาการตั้งแต่ 2 อาการขึ้นไปก็จะเข้าข่ายอยู่ในภาวะท้องผูก และอาจจะจำเป็นต้องได้รับการรักษา แต่ทั้งนี้ยังมีอีกหลายๆปัจจัยที่อาจทำให้เกิดภาวะท้องผูกได้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ยาบางชนิด หรือแม้กระทั่งสภาวะการเจ็บป่วยต่างๆ หากสามารถหลีกเลี่ยงหรือหยุดปัจจัยเหล่านั้นได้ภาวะท้องผูกก็จะหายไปได้เอง แต่ถ้าหยุดปัจจัยที่คาดว่าจะทำให้เกิดภาวะท้องผูกแล้วอาการยังไม่หายไป ท่านก็สามารถที่จะเดินเข้าไปปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรได้เช่นกันค่ะ
หลังจากที่ได้พาทุกท่านไปทำความรู้จักกับนิยามของภาวะท้องผูกแล้ว คราวนี้เราก็จะพาทุกท่านมารู้จักกับ “ยาระบาย” ซึ่งถือเป็นยาตัวแรกๆที่หลายๆท่านนึกถึงเวลามีภาวะท้องผูก ซึ่งวันนี้เราจะพาทุกท่านมารู้จักยาระบายกลุ่มต่างๆ โดยทั่วไปยาระบายจะถูกจัดกลุ่มโดยอาศัยการออกฤทธิ์ของยาต่อร่างกายมาแบ่ง ซึ่งจะแบ่งได้ประมาณ 4 กลุ่มใหญ่ๆดังนี้
- ยาระบายที่ช่วยเพิ่มปริมาณของอุจจาระ หรือ Bulk-forming laxative กลุ่มนี้ก็จะมียาอยู่ 2 ชื่อที่มักจะเห็นกันเป็นตำยาสำคัญตามฉลากยาก็คือ Psyllium husk(ไซเลี่ยม ฮักส์) หรือ Ispaglula husk (อิสปากูลา ฮักส์) ซึ่งก็คือสารสกัดที่ได้มาจากเทียนกาบหอย ยากลุ่มนี้จะเป็นเหมือนกากใยอาหาร โดยจะไปเพิ่มปริมาณอุจจาระและช่วยอุ้มน้ำไว้กับอุจจาระ พอลำไส้ใหญ่ถูกกระทบด้วยปริมาณของอุจจาระที่เยอะขึ้นก็จะตอบสนองโดยการบีบตัวเพื่อไล่อุจจาระออกมา สิ่งที่สำคัญในการใช้ยาระบายกลุ่มนี้คือ ต้องละลายน้ำเปล่าที่ไม่ใช่น้ำร้อนเพราะถ้าผสมน้ำร้อนหรือน้ำอุ่นจะมีลักษณะเหมือนวุ้นซึ่งจะรับประทานยาก ฉะนั้นพอเทใส่น้ำเสร็จคนให้ละลายแล้วดื่มเลย และต้องดื่มน้ำตามอีกอย่างน้อย 1 แก้ว เพราะถ้าดื่มน้ำไม่เพียงพอ ยาจะออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่และจะได้ผลกลับกันคือทำให้ถ่ายลำบากมากขึ้นเพราะยาจะไปดูดน้ำในอุจจาระกลับคืนมาอีกทำให้อุจจาระแข็งขึ้น สิ่งที่ควรทราบเมื่อใช้ยากลุ่มนี้คือยากลุ่มนี้จะเห็นผลช้า ซึ่งจะเริ่มเห็นผลหลังจากเริ่มใช้ไปแล้ว 2-3 วัน เฉพาะฉะนั้นอย่าใจร้อนหากใช้ยากลุ่มนี้ ยากลุ่มนี้เหมาะสำหรับคนที่มีภาวะท้องผูกไม่รุนแรง หรือกลุ่มคนที่รับประทานอาหารน้อยและรับประทานอาหารที่ไม่ค่อยมีกากใยอาหาร ยากลุ่มนี้ปลอดภัยสำหรับเด็ก คนท้อง คนชรา ที่ไม่ได้มีปัญหาลำไส้อุดตัน สำหรับท่านที่ใช้ยากลุ่มนี้อาจจะพบเจออาการอืดแน่นท้อง หรือปวดบีบท้องได้ เนื่องจากกากใยอาหารเหล่านี้อาจจะถูกแบคทีเรียในลำไส้ย่อยสลายและเกิดเป็นแก๊สได้
- ยาระบายกลุ่มแรงดันออสโมซิส หรือ Osmotic laxative ยากลุ่มนี้ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายก็คือน้ำตาลแลคตูโลส (Lactulose), polyethylene glycol และ milk of magnesia โดยที่แต่ละตัวจะเป็นสารเคมีคนละกลุ่มกันก็ว่าได้ ซึ่ง lactulose เป็นกลุ่มน้ำตาลที่ไม่ถูกดูดซึมในทางเดินอาหาร และถูกส่งไปที่ลำไส้ใหญ่ แล้วจะถูกแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ย่อยให้เป็นกรดอินทรีย์ ซึ่งจะสามารถดึงน้ำกลับมาอยู่ในลำไส้ได้ สำหรับ Polyethyleneglycol หรือบางยี่ห้อจะเขียนเป็น Macrogol ยาตัวนี้เป็นสารเคมีสังเคราะห์ที่มีความเป็นพิษต่ำ มีการนำมาใช้ทางยาอย่างกว้างขวาง และยาอีกหนึ่งตัวที่อยู่ในกลุ่มนี้คือ milk of magnesia หรือ magnesium hydroxide ยากลุ่มนี้จะมีความเข้มข้นที่สูงกว่าสภาพแวดล้อมอื่นๆในลำไส้ จึงช่วยดึงน้ำให้กลับเข้ามาที่ลำไส้ใหญ่โดยอาศัยแรงดันออสโมซิสได้ ทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มขึ้นและทำให้อุจจาระเคลื่อนตัวในลำไส้ได้ดีขึ้น ซึ่ง lactulose ถือว่าปลอดภัยในเด็ก ผู้ป่วยโรคตับ คนท้อง และหญิงให้นมบุตร อย่างไรก็ตามการใช้ lactulose อาจจะทำให้เกิดท้องอืดจากแก๊สได้คล้ายๆกับกากใยอาหาร สำหรับ milk of magnesia เนื่องจากมีส่วนประกอบแมกนีเซียมจึงต้องระวังการใช้ในเด็กและผู้ป่วยโรคไต เพราะหากใช้ยาชนิดนี้แล้วไม่สามารถขับถ่ายออกมาได้ร่างกายก็จะได้รับแมกนีเซียมเกินความจำเป็น นอกจากยาที่กล่าวไปข้างต้นแล้วยาระบายที่ออกฤทธิ์โดยอาศัยแรงดันออสโมซิสยังมีจำหน่ายในรูปแบบของยาสวนหรือยาเหน็บทวารอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นน้ำเกลือเข้มข้น (15%NaCl หรือบางชนิดมี Sodium phosphate ผสมด้วย) , กลีเซอรีน ซึ่งยาในรูปแบบยาสวนหรือยาเหน็บทวาร ซึ่งจะเห็นผลการรักษาเร็ว แต่ต้องระวังหากวิธีการใช้ยาสวนหรือเหน็บทวารไม่ถูกวิธีหรือใช้บ่อยเกินไป อาจมีผลทำให้เยื่อบุลำไส้ระคายเคืองหรือเกิดการอักเสบได้
- ยาระบายกลุ่มที่ช่วยทำให้อุจจาระอ่อนนิ่ม หรือ Stool softener กลุ่มนี้ก็จะมีน้ำมันพาราฟิน หรือบางที่อาจจะเรียกเป็น mineral oil และยา docusate sodium โดยยากลุ่มนี้จะไปช่วยลดแรงตึงผิวของอุจจาระทำให้น้ำสามารถซึมเข้าไปในอุจจาระได้ดีขึ้นทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มขึ้น และเคลื่อนตัวออกมาได้ง่ายขึ้น ยากลุ่มนี้ปลอดภัยในผู้ป่วยหลังผ่าตัด หรือผู้ป่วยที่ต้องการหลีกเลี่ยงการออกแรงเบ่งอุจจาระ แต่ไม่เหมาะในการใช้ระยะยาวเนื่องจากว่ายากลุ่มนี้มีผลรบกวนการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมัน (วิตามินเอ, ดี, อี, เค) และต้องระวังในการใช้ยานี้กับเด็กเล็กและผู้ป่วยที่มีความผิดปกติในการกลืน กลืนลำบากหรือระบบประสาทควบคุมการกลืนผิดปกติ เนื่องจากหากมีการสำลักยานี้เข้าไปในปอดสามารถทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบรุนแรงได้
- ยาระบายกลุ่มกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ หรือ stimulant laxative ยากลุ่มนี้มักจะเป็นยาระบายกลุ่มแรกๆที่หลายๆคนเลือกใช้เนื่องจากออกฤทธิ์เร็วและแรง ที่รู้จักกันเยอะๆก็จะเป็นยาระบายเม็ดสีเหลือง หรือชื่อทางการแพทย์ก็คือ bisacodyl และถัดมาก็จะเป็นสารสกัดจากมะขามแขก ซึ่งยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยการไปกระตุ้นระบบประสาทที่ควบคุมการขับถ่ายให้ทำงานจึงทำให้เมื่อใช้ยาในกลุ่มนี้แล้วมักเกิดอาการปวดบิดท้องรุนแรงกว่ายากลุ่มอื่นๆ และด้วยยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยการบังคับให้ระบบประสาททำงานตามการรับประทานยา ซึ่งไม่ใช่สภาวะปกติในการทำงานของร่างกาย หากใช้ยากลุ่มนี้ในระยะยาวจะเกิดภาวะดื้อยาได้ คือต้องเพิ่มขนาดยาขึ้นเพื่อให้ได้ผลที่ต้องการเท่าเดิม และหากมีการหยุดใช้ยาทันทีก็จะทำให้ระบบการขับถ่ายผิดปกติไปบางรายไม่สามารถถ่ายอุจจาระเองได้เนื่องจากร่างกายจะจดจำว่าต้องมียามากระตุ้นถึงจะทำงาน ฉะนั้นหากจำเป็นต้องใช้ยากลุ่มนี้ควรใช้เป็นครั้งคราวเท่านั้น และควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง
คราวนี้ทุกท่านก็คงจะทราบแล้วว่ายาระบายแต่ละกลุ่มแต่ละชนิดออกฤทธิ์อย่างไร และใช้อย่างไรถึงจะปลอดภัย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการใช้ยาระบายทุกครั้งควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเพื่อความปลอดภัย เพราะนอกจากการใช้ยาจะมีประโยชน์ในการบรรเทาหรือรักษาอาการป่วยให้หายดีแล้วการใช้เกินความจำเป็นก็เกิดโทษมหาศาลได้เช่นกัน ซึ่งยาระบายก็เป็นยาอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด โดยเฉพาะยาระบายกลุ่มกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ เพราะด้วยยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์เร็วและแรง โดยมักจะพบในกลุ่มคนที่มีความผิดปกติในการกิน เช่น กลุ่ม anorexia หรือ bulimia norvesa กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มนักกีฬาที่ต้องควบคุมน้ำหนัก และกลุ่มที่ใช้ยาระบายเพื่อให้ตัวเองเป็นผู้ป่วย (factitious disorder) และกลุ่มคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มีการใช้ยาเนื่องจากมีความเชื่อที่ผิด ในผู้สูงอายุก็มักจะเชื่อว่าการได้ขับถ่ายทุกวันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าตนสุขภาพดี ซึ่งโดยปกติแล้วความถี่ของการขับถ่ายมีตั้งแต่วันละ 3 ครั้งจนถึงสัปดาห์ละ 3 ครั้งก็เป็นได้ สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักก็เชื่อว่าถ้ารับประทานอาหารเข้าไปเยอะๆ แล้วรับประทานยาระบายเพื่อขับถ่ายสิ่งที่รับประทานเข้าไปออกมาแล้วร่างกายจะไม่ได้รับสารอาหารหรือพลังงานที่รับประทานเข้าไป ซึ่งไม่ถูกต้องเลย เมื่อทุกท่านลองดูการออกฤทธิ์ของยาระบายตามที่กล่าวไปแล้วจะเห็นได้ว่ายาระบายจะออกฤทธิ์ที่ลำไส้ใหญ่ซึ่งทำหน้าที่ในการดูดซึมน้ำและเกลือแร่บางชนิดเท่านั้น ส่วนการดูดซึมสารอาหารหรือพลังงานจะอยู่ที่บริเวณของลำไส้เล็ก ซึ่งหากมีการใช้ยาระบายกลุ่มนี้ไปนานๆ ก็จะส่งผลเสียต่อความสมดุลของอิเล็กโทรไลต์ และสมดุลกรดด่างของร่างกาย อันจะนำไปสู่โรคไตหรือโรคระบบหัวใจและหลอดเลือดได้ เมื่อทุกท่านทราบถึงผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้ยาที่ไม่เหมาะสมแล้ว ทางผู้เขียนก็หวังว่าทุกท่านจะตระหนักและให้ความสำคัญในการใช้ยาในแต่ละครั้ง แล้วพบกันใหม่บทความหน้าค่ะ
เอกสารอางอิง
1.รศ.นพ. สุเทพ กลชาญวิทย์. ท้องผูก(Constipation). สมาคมประสาททางเดินอาหารและการเคลื่อนไหว(ไทย). View 7 Nov 2018.
2. Marc D Basson. Constipation medication. View 7 Nov 2018.
3. Drug office. Laxatives and antidiarrheals. View 9 Nov 2018.
4. James L. Roerig, Kristine J. steffen , James E. Mitchell, et al. Laxative abuse. View 8 Nov 2018.
5. ผศ.นพ. ชัยเลิศ พงษ์นริศร. ภาวะท้องผูก ใครว่าแก้ไม่ได้?. View 7 Nov 2018.
เรียบเรียงโดย
เภสัชกรหญิงเอมมิกา กุลกุศล
9 พฤศจิกายน 2561