issuu
รู้หรือไม่? ยาเม็ดไหนห้ามหัก-แบ่ง-เคี้ยว
วันนี้เรามาเริ่มต้นกันด้วยคำถามกันดีกว่าค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน หลังจากที่ห่างหายไปนาน วันนี้เราจะมาตั้งคำถามกันว่า ทุกครั้งที่ทุกท่านกินยาไม่ว่าจะเป็นแบบเม็ด แบบแคปซูล เคยสงสัยกันบ้างไหมคะว่ายาเม็ดนี้หักได้ไหม ต้องเคี้ยวหรือเปล่า เม็ดใหญ่ขนาดนี้บดได้ไหม เคยเป็นไหมคะ หรือท่านอาจจะมีคำตอบว่าไม่มีนะ ปกติก็ไม่ได้สงสัยอะไรเพราะกลืนทั้งเม็ดตลอดเลย ถึงแม้ว่าท่านผู้อ่านหลายท่านจะมีคำตอบเป็นแบบท้ายสุด แต่ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถกลืนยาทั้งเม็ดแบบที่เคยทำได้ล่ะ จะทำอย่างไร? วันนี้ทางผู้เขียนก็เลยขอแชร์ความรู้เกี่ยวกับเม็ดยาบางชนิดที่ห้ามทำให้เม็ดแตกก่อนที่จะเข้าไปสู่ร่างกาย ซึ่งยาเม็ดประเภทนี้จะมีความพิเศษ และมีความจำเป็นที่จะต้องคงสภาพเม็ดไว้ก่อนนำเข้าสู่ร่างกายหลายหลายประการเลยทีเดียว เกริ่นมาซะยาวเลย เพื่อไม่ให้เสียเวลาเรามาเริ่มในส่วนของเนื้อหากันเลยค่ะ
ปกติยารับประทานที่มีจำหน่ายตามท้องตลาด จะมีรูปแบบการเตรียมยาที่ให้ทางปาก (oral dosage form) หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นยาเม็ด ยาแคปซูล ยาน้ำ ทางเภสัชกรรมจะมีชื่อเรียกเฉพาะของรูปแบบการเตรียมยาแต่ละชนิดแตกต่างกัน เช่น ยาเม็ดตอก (compressed tablet) เป็นเม็ดยาที่มีตัวยาและสารประกอบต่างๆ ที่ทำให้เกิดรูปแบบเม็ดโดยการตอกกับเบ้าตอก ยาเม็ดเคลือบ (coated tablet) เป็นยาเม็ดที่มีสารเคลือบอยู่ด้านนอกสุดของเม็ด อาจจะเป็นเคลือบฟิล์มหรือเคลือบน้ำตาล ยาแคปซูลชนิดแข็ง(Hard gelatin capsule) เป็นปลอกเจลาตินแข็งสองชิ้นที่สามารถถอดออกจากกันได้ ยาแคปซูลชนิดนิ่ม (Soft gelatin capsule) เป็นเปลือกเจลาตินนิ่มติดกันเป็นชิ้นเดียว ด้านในบรรจุยาที่เป็นของเหลว ซึ่งการเตรียมรูปแบบยาที่แตกต่างกันเหล่านี้ก็เพื่อที่จะช่วยลดข้อเสียของตัวยานั้นๆ เช่น กลิ่นรสไม่ดี ไม่คงตัวในสภาพความชื้น ตัวยาไวต่อแสง ลดอาการข้างเคียง ระยะเวลาการออกฤทธิ์สั้น ไม่ทนต่อกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งข้อมูลรายละเอียดของรูปแบบยาเตรียมที่ให้ทางปากค่อนข้างเยอะ จึงไม่ขอกล่าว ณ ที่นี้นะคะ
แล้วท่านผู้อ่านอยากรู้ไหมคะว่าทำไมยาเม็ดบางชนิดถึงห้ามหักแบ่ง, บด หรือเคี้ยว วันนี้เราจะมาเฉลยคำตอบกันค่ะ นั่นก็เพราะว่า ยาเหล่านั้นถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ที่ทำให้การใช้ยาของผู้ป่วยสะดวกมากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น ได้ประโยชน์จากการใช้ยามากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น ยาตัวหนึ่งมีผลข้างเคียงทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ก็จะมีการออกแบบมาในรูปแบบยาเม็ดเคลือบที่ออกฤทธิ์ที่ลำไส้เล็ก ตัวยาก็จะไปแตกตัวที่ลำไส้เล็กแทนที่จะไปแตกตัวในกระเพาะอาหาร หรือยาจะเสื่อมสภาพถ้าเจอกรดในกระเพาะอาหาร ก็จะออกแบบเม็ดยาให้ไปปล่อยตัวยาที่ลำไส้เล็กแทน เพื่อให้ยาถูกทำลายจากกรดได้น้อยลง หรือยาบางตัวออกฤทธิ์ได้สั้นมาก ต้องรับประทานซ้ำทุก 3 ชั่วโมง ซึ่งผู้ป่วยก็จะลำบาก ทั้งวันก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากกินยาๆ ยาเหล่านี้ก็จะถูกออกแบบมาให้ยาออกฤทธิ์ได้นานขึ้นเป็น 8 ชั่วโมง 12 ชั่วโมง ฯลฯ หรือยาบางตัวต้องการให้ความเข้มข้นของตัวยาในกระแสเลือดมีความเข้มข้นที่ใกล้เคียงกับความเข้มข้นที่สามารถควบคุมอาการได้ตลอดเวลา เหมือนกับการหยดยาเข้าเส้นเลือดที่โรงพยาบาล ซึ่งผู้ป่วยไม่สะดวกที่จะไปนอนหยดยาเข้าเส้นเลือดที่โรงพยาบาลทุกวัน ยาเหล่านี้ก็จะถูกออกแบบมาในรูปแบบพิเศษ ทั้งแบบเม็ด แบบแคปซูลเพื่อให้มีการปล่อยตัวยาออกมาให้ได้ปริมาณที่เท่าๆ กัน ตลอดเกือบทั้งวัน ทำให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการได้ดี และสะดวกสบายไม่ต้องไปนอนหยดยาที่โรงพยาบาลทุกวัน
เมื่อท่านผู้อ่านได้อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็คงจะทราบแล้วว่าทำไมยาบางชนิดถึงห้ามหักแบ่ง บด เคี้ยว เหตุผลว่าทำไมถึงห้ามก็รู้แล้ว แล้วเม็ดยาแบบไหนล่ะที่ห้ามหักแบ่ง บด เคี้ยว?? ข้อสังเกตที่อาจจะพบเห็นได้จากฉลากยาที่มีชื่อการค้าอยู่ ก็คือจะมีอักษรภาษาอังกฤษดังต่อไปนี้ต่อท้ายชื่อทางการค้า: CR, MR, XL, หรือ SR ยกตัวอย่างเช่น Adalat CR ซึ่งยาเหล่านี้จะเป็นยากลุ่มที่ต้องการให้ยาออกฤทธิ์ได้นาน ถ้าหากแบ่ง บด เคี้ยวก็จะทำให้คุณสมบัติพิเศษนั้นเสียไป และผู้ป่วยอาจได้รับอันตรายจากขนาดยาที่สูงเกินได้ และไม่สามารถควบคุมอาการนาน ๆ ได้เพราะยาหมดฤทธิ์เสียก่อน นอกจากนี้ยังมียาบางตัวที่ไม่ได้มีตัวอักษรภาษาอังกฤษห้อยท้ายชื่อ แต่มีวิธีการใช้ยาที่แตกต่างจากปกติ เช่น ยาเม็ดที่ใช้อมใต้ลิ้น ยาประเภทนี้ก็ห้ามบดเคี้ยวเช่นกัน ให้ใช้ตามวิธีใช้เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการใช้ยา และยังมียาอีกหลายรูปแบบที่ไม่ควรบดเคี้ยว เช่น ยาลดการหลั่งกรดที่ถูกออกแบบมาในรูปของแคปซูลที่มีเม็ดเล็ก ๆ หลายๆเม็ดอยู่ด้านใน แล้วนอกจากตัวอย่างข้างต้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่ายาตัวไหนห้ามหักแบ่ง บด เคี้ยว แบบง่ายสุดเลยคือถามผู้รู้ เช่น เวลารับยาจากเภสัชกรสามารถสอบถามเภสัชกรได้ว่าสามารถหักแบ่ง บด เคี้ยวได้ไหมหากมีความจำเป็นไม่สามารถกลืนทั้งเม็ดได้ หรือแบบที่สองคืออ่านฉลากยาอย่างถี่ถ้วน ซึ่งฉลากยาส่วนใหญ่ที่ออกมาจากโรงพยาบาลหรือร้านขายยาบางแห่ง จะมีช่องหมายเหตุสำหรับเพิ่มคำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับยาที่มีความพิเศษอยู่ หรือแบบที่สามคือการเปิดอ่านเอกสารกำกับยาที่แนบมาในกล่องยา ในหัวข้อวิธีการบริหารยา
ก็คงพอจะรู้กันไปคร่าวๆแล้ว สำหรับยาที่ห้ามหักแบ่ง บด เคี้ยว แล้วถ้าหากเกิดเหตุที่ไม่สามารถกลืนเม็ดยาทั้งเม็ดได้ล่ะจะทำอย่างไรดี อันดับแรกเลยคือ ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรที่ดูแล ถึงปัญหาที่กำลังประสบเพื่อที่จะหาแนวทางแก้ไข ซึ่งแนวทางการแก้ไขก็จะมีหลายวิธี ยกตัวอย่างเช่น เปลี่ยนจากรูปแบบยาเม็ดเป็นรูปแบบยาน้ำ หากไม่มีรูปแบบยาน้ำจำหน่ายอาจจะจัดเตรียมแบบผู้ป่วยเฉพาะราย หรือเปลี่ยนจากยาเม็ดออกฤทธิ์นานเป็นออกฤทธิ์ปกติและปรับเปลี่ยนขนาดยา หรือเปลี่ยนจากแบบเม็ดรับประทานเป็นแบบฉีดหรือแปะผิวหนัง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษานะคะ ผู้ป่วยหรือญาติไม่ควรปรับเปลี่ยนเอง
มาถึงตรงนี้แล้วทางผู้เขียนหวังว่า ท่านผู้อ่านจะพอมองภาพออกเมื่อเจอเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ต้องใช้ยาที่มีข้อห้ามหักแบ่ง บด เคี้ยว ไม่ว่าจะเป็นข้อสังเกตชื่อยา รูปแบบเม็ดยา รวมทั้งการจัดการหากไม่สามารถกลืนทั้งเม็ดได้ และทางผู้เขียนหวังว่าท่านผู้อ่านจะนำข้อสังเกตเหล่านี้ไปบอกต่อพูดคุยกับคนใกล้ชิดของท่านเพื่อการใช้ยาที่ถูกต้อง ปลอดภัย และได้ประโยชน์สูงสุดจากการใช้ยา แล้วพบกันใหม่บทความหน้าค่ะ
เรียบเรียงโดย
เภสัชกรหญิงเอมมิกา กุลกุศล
วันที่ 23 มิถุนายน 2562
เอกสารอ้างอิง
- ภญ.จันทิมา โยธาพิทักษ์, เมื่อต้องบริหารยาผ่านทางสายยางให้อาหาร, View 20 Jun 2019, http://www.med.cmu.ac.th/hospital/ha/quality/drugfeeding.pdf
- ภก.อุดม จันทร์เจริญ หน่วยคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, View 21 Jun 2019, https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/qa_full.php?id=71
- กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลสวนปรุง, ยาที่ห้ามบดเคี้ยวหรือทำให้เม็ดแตก, View 22 Jun 2019, http://www.suanprung.go.th/medicine/pdf/med15.pdf